7 วิธีนอนหลับ สร้างสุขภาพดี
🛌การนอนหลับที่มีคุณภาพส่งผลให้ชีวิตยืนยาวมากขึ้น เมื่อนอนหลับถูกวิธี จะส่งผลดีทำให้ร่างกายสุขภาพแข็งแรงมากกว่าเดิม ทั้งช่วยทำให้ระบบหัวใจและหลอดเลือดได้รับการพักผ่อน ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ พร้อมช่วยพัฒนาสมองให้เฉียบคมยิ่งขึ้น โดยเราสามารถสร้างสุขภาพดีด้วย “การนอนหลับ” 7 วิธีดังนี้
1.ใช้น้ำมันหอมระเหยสร้างความผ่อนคลาย
น้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์ทางสุคนธบำบัด(Aromatherapy) ที่สามารถช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย ลดความวิตกกังวล นอนหลับได้ดียิ่งขึ้น แต่ก็ต้องเลือกใช้น้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์ หรือ น้ำมันหอมระเหยแท้ที่สกัดจากธรรมชาติ 100% เท่านั้น เพราะไม่มีส่วนผสมของสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกายนั่นเอง
.
โดยน้ำมันหอมระเหยที่ช่วยในการนอนหลับ ให้หลับง่าย หลับสบาย ช่วยสร้างความผ่อนคลาย ก็มีดังนี้
• น้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์ (Lavender Essential Oil) เป็น 1 ในน้ำมันหอมระเหยยอดนิยมที่ถูกหยิบมาช่วยในการนอนหลับอย่างแพร่หลาย น้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์จะช่วยทำให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย นอนหลับสบายมากยิ่งขึ้น พร้อมช่วยลดอาการวิตกกังวลได้เป็นอย่างดี จากข้อมูลของ Sleep Foundation สหรัฐอเมริกาพบว่า คนหนุ่มสาวที่มีอาการนอนไม่หลับเล็กน้อย และผู้หญิงที่มีอาการนอนไม่หลับ มีการนอนหลับดีขึ้น หลังดมไอน้ำที่เติมน้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์เข้าไป
• น้ำมันหอมระเหยยูคาลิปตัส (Eucalyptus Essential Oil) มีกลิ่นหอมเย็นและสดชื่น มีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความเมื่อยล้า ลดความเครียด ช่วยทำให้กายใจผ่อนคลาย นอนหลับได้สนิท
• น้ำมันหอมระเหยซีดาร์วูด (Cedarwood Essential Oil) ช่วยปรับอารมณ์ให้สงบ ขจัดอารมณ์ความเครียดด้านลบได้อย่างดีเยี่ยม สารในน้ำมันหอมระเหยซีดาร์วูดจะเข้าไปกระตุ้นการหลั่งเซโรโทนินในสมอง ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นฮอร์โมนเมลาโทนิน หรือฮอร์โมนแห่งการนอนหลับ ทำให้เรานอนหลับได้ง่ายขึ้น บำบัดอาการนอนไม่หลับได้เป็นอย่างดี
• น้ำมันหอมระเหยมะลิ จากการวิจัยในต่างประเทศพบว่า ในน้ำมันหอมระเหยมะลิอุดมไปด้วยสารที่ช่วยให้นอนหลับ ซึ่งมีส่วนช่วยทำให้สมองปลดปล่อยกาบา อันเป็นสารเคมีในสมองที่ช่วยทำให้เกิดความผ่อนคลาย บรรเทาความกังวล และช่วยทำให้นอนหลับสนิทขึ้นได้เป็นอย่างดี
2.เลี่ยงการทานอาหารหรือขนมหวานก่อนนอน
หลีกเลี่ยงการทานอาหารมื้อหนักย่อยยาก อาหารรสจัด และเครื่องดื่มในปริมาณมาก ก่อนเข้านอน 3 – 4 ชั่วโมง เพราะอาจทำให้เกิดอาการแน่นท้อง ท้องอืดขึ้นได้
3.งดสูบบุหรี่ ดื่มชากาแฟ และแอลกอฮอล์
เพื่อไม่ให้ร่างกายเกิดการตื่นตัวจนนอนไม่หลับ ต้องงดสูบบุหรี่ สารนิโคตีน เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ และแอลกฮอล์ ก่อนเข้านอน 4 – 6 ชั่วโมง
4.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ควรงดออกกำลังกายหลัง 3 ทุ่ม
ควรออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3 - 4 ครั้ง ครั้งละ 20 - 30 นาที ในช่วงเวลาเช้าหรือเย็น จะช่วยให้หลับง่ายยิ่งขึ้น และควรงดออกกำลังกายหลัง 3 ทุ่ม หรือเว้นให้ห่างจากเวลานอน 3 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้ร่างกายตื่นตัวจนอาจทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ
5.เข้านอนและตื่นนอนให้ตรงเวลา
ผู้เชี่ยวชาญของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดกล่าวว่า การเข้านอนตรงเวลาจะช่วยป้องกันการนอนไม่หลับ และช่วยให้ร่างกายนอนหลับสนิทในตอนกลางคืน โดยควรเข้านอนตั้งแต่ 20.00 – 22.00 น. และไม่ควรนอนเกิน 5 ทุ่ม
6.รับแสงแดดบ้างในแต่ละวัน
การออกไปรับแสงแดดในแต่ละวันจะยิ่งทำให้ปริมาณเมลาโทนินเพิ่มขึ้น ส่งผลช่วยให้นอนหลับสนิทอย่างมีสุขภาพดีมากขึ้นนั่นเอง ช่วงเวลาเหมาะสมในการรับแสงแดด คือ ช่วงเวลา 06.00 – 08.00 น. และช่วงหลัง 16.00 น. โดยใช้เวลาประมาณ 10 - 20 นาที
.
7.ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนอนกลางวัน
การนอนกลางวันเป็นเวลานาน มีความเสี่ยงอาจทำให้เกิดปัญหานอนไม่หลับในตอนกลางคืนได้ แต่การนอนกลางวันที่ถูกต้องก็จะช่วยเพิ่มพลังสมอง ให้ร่างกายสดชื่นสดใส ช่วยลดภาระการทำงานหนักของหัวใจ ซึ่งเวลานอนกลางวันที่ดีควรหลับไม่เกิน 30 นาที และควรนอนในช่วง 13.00 – 15.00 น. จะเหมาะสมที่สุด